วันจันทร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การรักษาสิวอย่างถูกวิธี

 สิว 

เรื่องสิวเป็นปัญหาที่เกิดกับวัยรุ่น และผู้ใหญ่บางคน สร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นในบทความนี้ จะไม่เน้นเนื้อหาวิชาการเกี่ยวกับสิวมากนัก เพราะหาอ่านได้มากมายบน intenet แต่จะเน้นวิธีการ ดูแลรักษาสิว และยาทาสิว เนื้อหาทั้งหมดมาจากประสบการณ์ในการดูแลรักษาสิว ของผู้เขียนเองเป็นหลัก ไม่สามารถอ้างอิงในหลักวิชาการได้

สิว แบ่งง่ายๆ เป็น

1. สิวอุดตัน ลักษณะเป็นตุ่ม ไม่เจ็บ ไม่แดง มีทั้งสิวอุดตันหัวปิด (white head) และสิวอุดตันหัวเปิด (Black head)
2. สิวอักเสบ ลักษณะเป็นเม็ดแดง หรือมีหัวหนอง เวลาโดนจะมีอาการเจ็บ บางเม็ดจะบวม บางเม็ดก็ไม่บวม ควรทำความเข้าใจในลักษณะสิว เพราะสิวทั้งสองแบบรักษาต่างกันเล็กน้อย

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว

1. เกิดจากความมันบนใบหน้า เนื่องจากต่อมไขมันใต้รูขุมขนได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมน ทำให้สร้างมันออกมามาก บางครั้งระบายออกมาไม่ทัน ทำให้เกิดการอุดตันและกลายเป็นสิวอุดตัน
2.ฮอร์โมนที่เปลียนแปลง ทำให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติ เกิดสิวขึ้นได้
3.แพ้สารเคมีต่างๆ เช่น เครื่องสำอาง น้ำมันใส่ผม ยาสีฟัน หน้ากากกันฝุ่น

การรักษาสิว

มาถึงเรื่องที่จะเน้นในบทความนี้ ซึ่งเป็นแนวทางส่วนตัว ไว้ให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิวได้พิจารณา เพื่อทำให้ใบหน้าคุณปราศจากสิว เสียที

เมื่อเป็นสิวแล้ว ทำไมต้องรักษา คิดดูให้ดี ถ้าเป็นสิวแล้วมันหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้ เช่น รองแดง รอยดำ หลุมสิว รอยนูน ก็คงไม่สร้างความลำบากใจให้ผู้ที่เป็นสิว จริงมั้ยครับ ดังนั้นหลักการณ์สำคัญ สำหรับการรักษาสิว คือ

1.รักษาสิวอักเสบให้ยุบเร็วที่สุด
เพราะสิวอักเสบ เป็นสาเหตุหลักของ รอยดำ รอยแดง หลุมสิว และรอยนูนจากสิว รักษาได้เร็วเท่าไหร่ ทิ้งร่องรอยไว้น้อยเท่านั้น

แนวทางและยาที่ใช้ในการรักษาสิวอักเสบ
1.1 การฉีดสิว (Intralesioinal Kenacort) มีทั้งแพทย์ที่นิยมฉีดสิว และไม่นิยมการฉีดสิว กลุ่มแรกจะแนะนำให้ผู้ป่วยฉีดสิวทุกครั้งที่อักเสบ ถึงแม้ว่าการฉีดสิว ซึ่งก็คือการฉีด steroid เข้าไปที่เม็ดสิวอักเสบเพื่อยับยั้งกระบวนการอักเสบ ทำให้สิวอักเสบยุบเร็วที่สุด ทิ้งร่องรอยน้อยที่สุด แต่ก็มีโอกาสกลับเป็นใหม่ได้อีกเพราะต้นเหตุไม่ได้กำจัดออก ซึ่งเหตุผลหลังนี้ทำให้แพทย์อีกกลุ่มไม่นิยมการฉีดสิว

ในความเห็นส่วนตัว คิดว่าเมื่อมีสิวอักเสบแล้ว ควรฉีดสิว เพราะการปล่อยให้สิวอักเสบหายเอง มักทิ้งร่องรอยบนใบหน้ามากกว่าการฉีดสิว ถึงแม้การฉีดสิวมีโอกาสที่สิวกลับมาเป็นใหม่ได้ในบางครั้ง

อ่านมาถึงตรงนี้คงทำให้ใครหลายคนเข้าใจนะครับ ว่าทำไม จึงมีการ ฉีดสิว เมื่อเราไปพบแพทย์

1.2 ยากินรักษาสิว นอกจากการฉีดสิวที่เห็นผลใน 24 ชม. แล้ว แพทย์มักจะใช้ยากินที่เป็นยาปฏิชีวนะ เพื่อรักษาสิวอักเสบ ที่นิยมก็จะมี amoxicillin, ciprofloxacin, Doxycyclin แต่การกินยาต้องใช้เวลาหลายวัน เป็นสัปดาห์จึงจะเห็นผล และมีข้อเสียคือ เมื่อใช้ไปนานๆ จะมีอาการดื้อยา และผลข้างเคียงบางอย่างที่เป็นอันตรายกับผู้ป่วย


1.3 ยาแต้มหัวสิวอักเสบ หลักการคล้ายการฉีดสิว แต่เป็นการแต้มที่หัวสิวเท่านั้น โดยยาประเภทนี้ส่วนมากจะเป็น steroid ใช้เฉพาะแต้มหัวสิวอักเสบเท่านั้น ไม่ควรทาทั้วหน้า เพราะจะทำให้หน้าลอก เป็นรอยด่าง


1.4 clindamycin gel เป็นยาปฏิชีวนะรูปแบบทา ตัวยาหลักจะเป็น clindamycin มีของ วุฒิศักดิ์ คลินิก (เท่าที่ทราบ) ที่ใช้เป็น clindamycin + metronidazole เพือให้ออกฤทธิ์ได้กว้างขึ้น สามารถกำจัดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวได้หมด เพราะเชื่อว่าเชื้อบางตัวเริ่มมีการดื้อ clindamycin แล้ว


2.รักษาสิวอุดตัน
สิวอุดตันไม่ได้เป็นปัญหาเร่งด่วนในการรักษาสิว ตราบใดที่มันยังไม่อักเสบ การรักษาสิวอุดตันประกอบด้วยการ ทายา กดสิว และไม้ตายคือการกิน กรดวิตามิน เอ (Roaccutane, Acnotin, Isotraine)

2.1 BP benzoyl peroxide
เป็นยาทา ตัวที่นิยมมากที่สุด เชื่อว่าทุกคนที่เป็นสิว เคยใช้ยาตัวนี้มาแล้ว ยาตัวนี้มี 2 ความเข้มข้นคือ 0.25% และ 0.5% ซึ่งเชื่อกันว่า 0.5% จะควบคุมความมันและรักษาสิวอุดตันได้ดีกว่า แต่จากผลการศึกษาต่อมาภายหลัง ไม่พบความแตกต่าง แพทย์บางคนยังนิยมเพิ่มความเข้มข้นหลังจากรักษาด้วยยาตัวนี้ไปสักระยะหนึ่ง เพื่อหวังผลการรักษาที่ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นที่สงสัยว่า ทำให้ผลการรักษาดีขึ้นหรือไม่

BP แพทย์มักจะใช้ยาตัวนี้กับผู้ป่วยเสมอ ข้อดีคือ ช่วยรักษาสิวอุดตัน หรือ microcomedone ได้ดี และลดความมันบนใบหน้าได้ โดยไม่พบการดื้อยา แม้ว่าจะใช้ยาไปเป็นเวลานานก็ตาม พูดง่ายๆ ทาได้ทุกวัน ก่อนล้างหน้า ตอนเช้า และตอนเย็น โดยทาทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก บางครั้งพบอาการระคายเคื่องใบหน้า หรือแสบแดง เวลาโดนแดด แนะนำให้ทาทิ้งไว้ในเวลาที่สั้นลง เหลือแค่ 5 นาที ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็แสดงว่าแพ้ยาตัวนี้ ควงงดการใช้หรือปรึกษาแพทย์

ยี่ห้อที่นิยมในตลาด ผมแนะนำของ stiefel เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่เน้นเรื่อง ยาทาผิวหน้าอยู่แล้ว และจากการค้นใน internet ก็พบว่าผู้ป่วยส่วนมากพอใจในผลการใช้ ทำให้สิวอุดตันลดลง หน้าแห้งขึ้น หลังใช้ช่วงแรก พบว่าบางคนมีอาการหน้าแดง และอาจมีสิวอักเสบเห่อขึ้น จึงควรใช้คู่กับ clinda lotion เสมอ เว้นในกรณีที่แพทย์ให้หยุด clinda lotion แล้ว

2.2 การกดสิว
เป็นวิธีการรักษาสิวอุดตันที่จำเป็น เพราะเมื่อถึงเวลาที่กดสิวได้ ควรกำจัดออก หากปล่อยไว้สิวอุดตันบางเม็ดจะกลายเป็นสิวอักเสบ และสร้างปัญหาเรื่อง รอยดำ รอยแดง หลุมสิว หรือแผลเป็นนูน ต่างๆ การกดสิวที่ถูกวิธี จะทิ้งรอยแผลน้อยกว่าปล่อยให้สิวอักเสบแน่นอน

การกดสิว ควรใช้ไม้กดสิวที่ออกแบบมาเพื่อกดสิวเท่านั้น ไม่ควรใช้นิ้วบีบหัวสิวออกมา และบางครั้งถ้าเป็นสิวหัวปิด จำเป็นต้องใช้เข็ม เบอร์ 20 แทงเพื่อเปิดรูให้หัวสิวออกมาภายนอกได้ ก่อนทำการกดออก

การกดสิว ที่ไม่ถูกวิธี หรือในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม จะทำให้หัวสิวออกไม่หมด และกลายเป็นสิวอักเสบตามมา โดยส่วนมากแพทย์มักจะให้ผู้ป่วยทายา BP เป็นเวลา 1 สัปดาห์อย่างน้อย เพื่อทำให้หัวสิวเปิดออก สิวแห้งขึ้น กดออกได้สะดวก

2.3 กรดวิตามิน เอ (Roaccutane, acnotin, isotrane)
เหมือนไม้ตายในการรักษาสิว เนื่องจากยาตัวนี้จะทำให้ต่อมไขมันที่รูขุมขนทำงานลดลง ลดหน้ามัน และลดสิวอุดตันได้ บางคนกินยานี้เพื่อควบคุมความมันบนใบหน้าเท่านั้น หรือบางคนก็กินเพื่อทำให้รูขุมขนดูเล็กลง ซึ่งระยะเวลาในการกิน ต้องกินวันละ 1 เม็ด ติดต่อกัน 4 เดือน ยาจะถูกดูดซึมได้ดีพร้อมไขมัน จึงควรกินยาหลังอาหารทันที

ผลข้างเคียงของยา เนื่องจากต่อมไขมันทำงานลดลงทั่วร่างกาย ทำให้ปากแห้ง ผิวหนังแห้ง บางครั้งแสบตาเวลาลมเข้าตา ควรทาลิปมัน เพื่อป้องกันริมฝีปากแตก โดยจะเริ่มมีอาการประมาณ 1 สัปดาห์ หลังกินยา และมีผลต่อการสร้างอวัยวะต่อเด็กในครรภ์ จึงห้ามกินในหญิงตั้งครรภ์

พบว่ายาตัวนี้ทำให้สิวลดลง 80% หลังกินครบ 4 เดือน โดยจะเริ่มเห็นผลตั้งแต่เดือนแรกที่กิน หลังจากกินยาครบ dose แล้ว สิวจะลดลงนานเป็นเดือน ถึงปี แล้วอาจกลับมาเป็นอีก เนื่องจากยังไม่พ้นวัยเพราะสิวเกิดจากปัจจัยภายในคือ ฮอร์โมน ซึ่งไม่สามารถแก้ปัจจัยภายในได้

ยาตัวนี้ ไม่ควรซื้อกินเอง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา แหล่งซื้อยาราคาถูก คือ แถวสะพานใหม่ Acnotin 10 mg 30 เม็ด จำหน่ายที่ราคา 380 บาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น