วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

7 สูตรลดหน้ามัน

1. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง

การล้างหน้ามีผลต่อความมันบนใบหน้าอย่างมาก เพราะการที่เราล้างหน้าบ่อยๆจำทำให้หน้าของเราแห้งตึงกว่าปกติ ผิวหน้าก็จะเร่งสร้างน้ำมันเพิ่มมากขึ้นเพื่อรักษาความสมดุลของผิวหน้า กลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้หน้ามันเข้าไปอีก การล้างหน้าแค่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หน้าสะอาด หากหน้ามันระหว่างวันก็ใช้กระดาษซับมันซับออกแทนจะดีกว่า


มะเขือเทศ ลดหน้ามัน


2. มาร์คหน้าด้วยมะเขือเทศ


ในมะเขือเทศมีวิตามินที่ช่วยบำรุงผิวอยู่หลายตัว และช่วยดูดซับความมัน กระชับรูขุมขนได้ดีอีกด้วย วิธีมาร์คหน้าก็ง่ายๆแค่นำมะเขือเทศไปล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปปั่นให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง จะช่วยลดความมันบนหน้าได้เป็นอย่างดี


พอกโคลนลดหน้ามัน


3. พอกหน้าด้วยโคลน

ไม่ใช่ให้ไปเอาโคลนที่ไหนมาพอกหน้าก็ได้นะครับ ก็เอาพวกมาร์คหน้าที่เป็นมาร์คแบบโคลน (clay-base mask) มามาร์คหน้าเท่านั้นเอง โดยที่พวกมาร์คแบบโคลนจะมีจุดเด่นในเรื่องช่วยดูดซับความมัน และทำความสะอาดรูขุมขนได้ดี แต่อย่าทำบ่อยมากนักเพราะจะทำให้ผิวแห้งมากเกินไป ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งก็ช่วยลดความมันได้อย่างเหลือเฟือแล้ว


ดินสอพอง ลดหน้ามัน


4. พอกหน้าด้วยดินสอพอง


ดินสอพองมีสรรพคุณช่วยดูดซับความมันได้ดี แค่นำไปผสมกับมะนาวและน้ำผึ้ง จากนั้นก็นำไปพอกหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาทีแล้วล้างออก จะรู้สึกว่าหน้าเนียน นุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


ว่างหางจระเข้ ลดหน้ามัน


5. พอกหน้าด้วยวุ้นว่าหางจระเข้


ว่านหางจระเข้นอกจากจะช่วยลดอาการอักเสบของสิวได้แล้ว ยังช่วยลดความมันบนหน้าได้ด้วย วิธีการก็นำว่านหางจระเข้มาปลอกเปลือกออกให้เหลือแต่ตัววุ้น จากนั้นนำไปล้างน้ำให้สะอาด ย้ำเลยนะครับว่าต้องล้างให้สะอาดจริงๆ ไม่งั้นอาจโดนยางกัดหน้าได้ เมื่อได้ตัววุ้นก็นำมาสไลด์ให้เป็นแผ่นบางๆหลายๆแผ่นและจัดการนำมาแปะไว้ที่หน้า จะรู้สึกว่าหน้าเย็นๆ ช่วยให้ผิวไม่มัน และทำให้หน้าชุ่มชื้นขึ้นอีกด้วย

Resorcinol ลดหน้ามัน


6. ทายารักษาสิว


ลองหายารักษาสิวที่มีส่วนประกอยของ Resorcinol ซึ่งนอกจากจะช่วยลดการเกิดสิวได้แล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความมันบนหน้าได้ดีอีกด้วย หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปครับ


ดื่มน้ำลดหน้ามัน



7. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ


การดื่มน้ำสะอาดเป็นการลดความมันบนใบหน้าที่ประหยัดที่สุด และได้ผลดีมากๆอีกวิธีหนึ่ง เพียงแค่จิบน้ำในระหว่างวันบ่อยๆ ค่อยๆจิบทีละน้อย ไม่ควรดื่มมากๆในครั้งเดียว จะไม่มีประโยชน์ เพราะร่างกายจะรับได้เพียงเล็กน้อย ที่เหลือก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะไปหมด แต่การค่อยๆจิบจะช่วยให้ร่างกายนำน้ำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า คือการดื่มน้ำเยอะจะช่วยให้ร่างกายได้ทำความสะอาดจากภายใน และขับของเสียออกมาได้สะดวกขึ้น ทำให้หารขับของเสียออกทางผิวหนัง ก็คือขับของเสียออกมาในรูปของไขมันน้อยลง การขับถ่ายดีขึ้น สิวก็ลดลงโดยอัตโนมัติ


     เป็นยังไงกันบ้างครับสำหรับ 7 วิธีช่วยลดความมันบนใบหน้า หวังว่าคงจะชอบกันนะครับ ลองเลือกเอาวิธีที่สะดวกที่สุดไปใช้ก็ได้หรือจะทำทั้ง 7 วิธีก็ไม่ผิดกฎหมายใด ความมันบนหน้าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เป็นกันทั้งนั้น เพราะหน้ามันแล้วทำให้เป็นสิวได้ง่าย ผมยังเบื่อเลยครับแบบว่าเป็นคนหน้ามันมากๆ แต่ถ้าได้ลองสูตรที่ให้ไปรับรองว่า"มันหายไปแน่นอน"

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีทำให้ผิวขาวใสด้วยแตงโม

 
วิธีทำก็คือ เฉือนเนื้อแตงโม โดยคัดเฉพาะที่เป็นเนื้อในสุด ให้เป็นชิ้นบาง ๆ พอประมาณ อย่านำเนื้อแตงโมที่อยู่ใกล้ชิดกับเปลือก เนื่องจากเนื้อส่วนนี้จะมีความเข้มข้นของกรดอยู่พอประมาณ และมีความแข็งไม่เหมาะที่จะนำมาใช้ เมื่อได้ชิ้นแตงโมที่ฝานบางๆ แล้ว นำมาวางไว้บนผ้าขาวบางที่เตรียมไว้ จากนั้นนำมาวางปิดลงบนใบหน้าให้ทั่ว (แบบให้ชิ้นแตงโมติดกับผิวหน้า) หากไม่ต้องการใช้ผ้าขาวบาง ก็ไม่ว่ากัน สามารถนำชิ้นแตงโมมาวางบนผิวหน้าได้เลย ระวังน้ำที่มีจากผลไม้ จะเยิ้มทั่วหน้าด้วย ทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ระวังมดขึ้นหน้าด้วยนะจ๊ะ 


สิ่งที่ได้จากการบำรุงผิวหน้าด้วยแตงโมนั้น นอกจากชิ้นแตงโมจะมีความเย็นในตัวเองอยู่แล้ว ช่วยผ่อนคลายผิวด้านนอกให้สดชื่น สารสีแดงจากแตงโม ที่เรียกว่า lycopene ที่มีแอนตี้ออกซิเดนท์ นอกจากช่วยในการบำรุงหัวใจ รวมถึงมะเร็งแล้ว ยังสามารถดูดซับความมันบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ยังอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ที่จะช่วยควบคุมระบบการไหลเวียนของโลหิตในบริเวณผิวหน้าให้เป็นปกติ ช่วยให้รูขุมขนมีความยืดหยุ่น ชุ่มชื่น อีกทั้งในน้ำแตงโม มีโมเลกุลของน้ำตาลอยู่พอประมาณ รวมทั้งกรดอะมิโนอีกเล็กน้อย ช่วยในการบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี สาวๆ ลองนำไปปฏิบัติตามกันได้ เพื่อผิวหน้าที่สดใสและชุ่มชื่น 


ที่มา http://www.beautyfullallday.com/?subject=53

วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิล

ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ 

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น 

* สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย 

ที่มา http://lady.one.in.th

วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2557

กล้วยน้ำว้าครีมพอกหน้า

สรรพคุณ:บำรุงผิวให้เนียนขาวลดริ้วรอยความเหนื่อยล้า 
ส่วนผสม กล้วยสุก 2 ผล/น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ/ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ/น้ำสะอาดเย็นจัด 1 ขัน 
วิธีผสม ปอกเปลือกกล้วยออกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆนำลงเครื่องปั่นบดให้ละเอียด นำน้ำมะนาวและน้ำผึ้งเทลงไปปั่นผสมกันให้เป็นเนื้อเดียวสังเกตุถ้าเนื้อครีม เริ่มฟูก้อใช้ได้ 
วิธีพอกหน้า ล้าง หน้าด้วยน้ำสะอาดซับหน้าให้แห้งทาครีมกล้วยน้ำว้าที่ทำไว้ทาให้ทั่วใบหน้ายก เว้น ดวงตาและขอบจมูก พอกทิ้งไว้ประมาน 20-30 นาทีล้างออกด้วยน้ำเย็นจัด 
ควรพอกตรีมกล้วยอาทิตละครั้ง ใบหน้าจะนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด 
ที่มา http://tay2014.allblogthai.com/23

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีทำให้ผิวขาวที่ไม่อันตรายและใช้ได้กับทุกคน

หากผิวพรรณของคุณดูดำคล้ำ ทั้งสาเหตุที่มาจาก การออกแดด โดยปราศจากการปกป้องด้วย

ครีมกันแดด หรือ การเป็นคนมีเม็ดสีเมลานินมากกว่าคนปกติ จึงกลายเป็นคนผิวไม่ขาวเท่าที่ต้องการ

แล้วต้องการให้ผิวพรรณมีความขาว กระจ่างใสขึ้นมาได้จริง คนดูดีขอชี้ทาง ดังนี้ เพื่อความกระจ่างใสของผิวพรรณ


วิธีการทำให้ผิวขาวขึ้นมาได้ มีทั้งวิธีธรรมชาติ และไม่ธรรมชาติเข้าช่วย และมีทั้งรวดเร็ว และใช้ระยะ

เวลาประมาณหนึ่ง


แต่วิธีทำให้ผิวขาว แบบฉบับคนดูดี มีดังต่อไปนี้

หากมีผิวคล้ำจากปัญหาแสงแดด วิธีง่ายๆ คือ เวลาออกแดด ให้ทาครีมกันแดด ค่า spf เกินกว่า 15 ขึ้นไปเพื่อป้องกันแสงแดด โดยควรเป็นครีมกันแดดที่ช่วยป้องกันได้ทั้ง แสงยูวีเอ และยูวีบี จะดีมาก และเมื่อออกแดดแล้ว ควรทาซ้ำอีกครั้ง เพื่อการออกฤทธิ์ที่ดี นอกจากนั้น ให้พกร่ม เมื่อออกแดด จนเป็นนิสัย เพราะ ร่ม จะสามารถกรองแสงแดด ได้ชั้นหนึ่ง ไม่ให้แสงแดด ทำลายผิวของเรา


แต่สำหรับผิวคล้ำจากสาเหตุอื่น การใช้ครีมเข้าช่วย จะช่วยได้มาก โดยครีมที่ทานั้น นอกจากมีครีม

กันแดดแล้ว ไวเทนนิ่ง ก็ช่วยในเรื่องของความขาวใส จะค่อยๆปรับสภาพให้ผิวกระจ่างใส จนขาวได้เอง

ในที่สุด หรือหากต้องการเพิ่มเติม นอกจากการทา การกินยา ฉีดยา ก็สามารถช่วยได้ โดยการเข้าไปช่วย

ในเรื่องการจัดการเมลานินในผิวพรรณ ให้มีปริมาณที่เหมาะสม ค่อนไปในทางที่จะทำให้ผิวขาว ลดการ

ทำงานของเม็ดสีได้ โดยไม่เป็นอันตราย ก็เป็นวิธีที่ช่วยให้ผิวขาว อย่างรวดเร็ว

ฉะนั้นแล้ว คนดูดี ขอสรุปง่ายๆ ดังนี้ วิธีการทำให้ขาว หากอยากมีผิวขาวใส ให้ปฏิบัติแค่เพียง

หลีกเลี่ยงแสงแดด ใช้ครีมบำรุงมีส่วนผสม ไวเทนนิ่ง และเสริมเข้าไปด้วยการกินยา หรือฉีดยา

ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เพียงเท่านี้ เราก็มีผิวพรรณที่กระจ่างใส และขาวได้อย่างง่ายดาย

มะเขือเทศช่วยลดจุดด่างดำ

มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)

ใน มะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสดนำมาพอกหน้าจะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

สรรพคุณ สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

ส่วนผสม มะเขือเทศ 1 ผล

รำข้าวหรือข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ นำมะเขือเทศไปปั่นหรือบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำผสมรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตคนให้เข้ากัน

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้งพอกครีมมะเขือเทศทิ้งไว้นานเท่าที่มีเวลาแล้วล้างออกด้วยน้ำ สะอาด ในมะเขือเทศมีวิตามินเอมาก ซึ่งเป็น วิตามินที่ละลายได้ดีในน้ำมัน การใช้รำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นส่วนผสม เพื่อให้น้ำมันในรำข้าวหรือข้าวโอ๊ตเป็นตัวพาวิตามินเอเข้าสู่เซลผิวหน้าได้ ดีกว่า การฝานมะเขือเทศมาแปะหน้าเพียงอย่างเดียว สูตรนี้ใช้ได้ทั้งคนผิวแห้งและผิวมัน

ที่มา http://tay2014.allblogthai.com/23

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย 
น้ำมันดอกทานตะวัน 
มะนาวสด1½ ช้อนโต๊ะ 
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด 
* สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย 

ที่มา http://lady.one.in.th

สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา

ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ

ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว) 

น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ 

วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น 

* เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม 

Tips: 

* ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี 
* ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง 
* ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน 
* เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ 

ที่มา http://lady.one.in.th

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ผิวขาวใสด้วยว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)
คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

ส่วนผสม ว่านหางจระเข้

วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน

วิธีใช้ ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด
หมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

ที่มา http://tay2014.allblogthai.com/23

ขมิ้นชันบำรุงผิวหน้าใส

ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)
ใน ขมิ้นจะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิวและช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

ส่วนผสม ขมิ้นสด (เล็กน้อย)

ดินสอพอง 2-3 เม็ด

มะนาว 1 ผล

วิธีทำ นำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ปั่นรวมกับดินสอพองและมะนาวจนละเอียด รวมเป็นเนื้อเดียวกัน จะได้เนื้อครีมข้น และเหนียว นำมาพอกกับหน้าที่สะอาดก่อนเข้านอน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด จะรู้สึกผิวหน้าสดชื่นและเต่งตึงขึ้นด้วย ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ภายในเวลาไม่ถึงเดือนจะสังเกตเห็นว่าผิวหน้าดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงจนสามารถสังเกตได้

ที่มา http://tay2014.allblogthai.com/23

4 วิธีง่ายๆ ทำให้ผิวขาวใสจากธรรมชาติ

วันนี้มี 4 วิธีทําให้ผิวขาว ใสง่ายๆ จากธรรมชาติ เพื่อดูแลผิวพรรณของคุณให้ขาวใสวิ๊งๆ กันมาเริ่มกันเลย
1. ผสมไข่ขาว 3 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ผสมให้เข้ากัน และทาทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยนม (อุณหภูมิห้อง) คุณจะเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหรือจะทำซ้ำจนกว่าคุณจะพอใจ
2. ผสมแป้งกับนมในให้เป็นเนื้อเดียวกัน และทาลงบนใบหน้าของคุณ ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ซึ่งแร่ธาตุในนมนั้นจะช่วยทำให้ผิวหน้าของเราชุ่มชื้น
3. รับประมานอาหารที่มีวิตามินซีสูง ซึ่งจะช่วยให้ลดการผลิตเมลานิน เช่น ส้ม ฝรั่ง เชอร์รี่ เป็นต้น
4. ขัดตัวอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป และควรบำรุงด้วยมอยเจอร์ไรท์เซอร์เพื่อผิวที่ชุ่มชื่น


Tips & Tricks
1. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. เพราะช่วงเวลาดังกล่าวแสงแดดจากดวงอาทิตย์จะมีปริมาณแสง UV ที่สามารถทำร้ายผิวเราได้อย่างมาก ถ้าเลี่ยงไมไ่ด้ควรทา ครีมกันแดด เพื่อป้องกันผิวของเราจากแสงแดดเพื่อผิวที่ดูขาวใสกระจ่างอย่างต่อเนื่อง
2. ควรทา ครีมกันแดด เสมอ แม้ว่าจะไม่ได้ออกไปเจอแสงอาทิตย์ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าแสงจากหลอดไฟภายในบ้านหรือที่ทำงานก็เป็นตัวการทำให้ผิวของเราคล้ำได้
3. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสาร Hudroquine หรือสารปรอท เพราะส่วนผสมเหล่านี้ อาจทำให้เกิดรอยแผลหรือเกิดมะเร็งได้หากสะสมในร่างกายมาก
4. ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเร่งให้ผิวขาว ซึ่งมันสามารถทำลายผิวของคุณและอาจเกิดรอยแผลไหม้ได้
5. ห้ามรับประทานวิตามินซีมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสุขภาพของร่างกายได้เช่น อาจทำให้เกิดนิ่วในไตได้

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557

สุดยอดการรักษาหลุมสิว ราคาถูกและได้ผลเร็ว

สิว.. เป็นปัญหาที่กว่าจะรักษาหาย ก็ต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แถมเมื่อมันจากไปก็ยังคงไม่วายทิ้งปัญหาร่องรอยด่างดำ และหลุมสิวชวนน่ารำคาญเอาไว้ให้ดูต่างหน้าอีกต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลุมสิวบนใบหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่รักษายาก แถมอยู่นานเสียยิ่งกว่าตัวสิวเอง


หลุมสิวคืออะไร?


หลุมสิว คือ การอักเสบของสิวอย่างรุนแรงถึงชั้นหนังแท้ มักที่จะมีหนองเกิดขึ้นด้วยทำให้คอลลาเจนถูกทำลาย จึงมักที่จะมีแผลเป็นเกิดขึ้นหลังสิวหาย แผลเป็นใต้ผิวหนัง จะทำให้ พังผืด ที่ดึงรั้งผิวหนังจนทำให้กลายเป็นหลุม 

ลักษณะรอยแผลเป็นหลังจากการเป็นสิว

ประเภทของหลุมสิว


1. Rolling Scars หลุมสิวจะมีลักษณะคล้ายกับแอ่งกระทะ ขอบรอบๆดูคล้ายกับรอยเหี่ยวย่น มักเกิดขึ้นจากการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ ที่ได้รับการรักษามาบ้าง แต่การยุบตัวของสิวไม่สัมพันธ์กับการสมานตัวกับผิว เป็นรอยหลุมสิวที่สามารถรักษาได้ง่ายกว่าหลุมสิวประเภทอื่น

2. Box Scars หลุมสิวจะมีลักษณะคล้ายกับหลุมกล่องวงรี ขนาดประมาณ 3-4 มิลลิเมตร เป็นทรงตรงลึกลงไป มักเกิดขึ้นมาจากการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ๆ หรือเกิดขึ้นจากการเป็นอีสุกอีใส เป็นลักษณะหลุมสิวที่ค่อนข้างรักษาได้ยาก

3. Ice Pick Scars หลุมสิวจะมีลักษณะเหมือนถูกที่เจาะน้ำแข็งทิ่มลงไป ขนาดมักจะไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร ดูเหมือนรูจะเล็ก แต่ลึก ซึ่งรักษายากมากที่สุด 

สาเหตุของการเกิดหลุมสิว


1. การบีบ แคะ แกะ เกา ทำให้สิวอักเสบมากขึ้น พร้อมกับทิ้งรอยคล้ำ และหลุมสิว

2. สิวอักเสบรุนแรง

3. การติดเชื้อแบคทีเรียลุกลาม

4. กรรมพันธุ์ ถ้าหากคนในครอบครัวมีประวัติการเกิดหลุมสิวหลังจากที่เป็นสิงอย่างรุนแรง ก็มีโอกาสที่เมื่อเราเป็นสิวจะเกิดหลุมสิวทันทีเมื่อหาย

การรักษาหลุมสิว


การรักษาหลุมสิว ที่กำลังจะแนะนำดังต่อไปนี้ เป็นวิธีการรักษาที่รวบรวมมาเป็นความรู้ เพื่อช่วยให้คุณสาวๆ มีแนวทางในการรักษาหลุมสิวได้ด้วยตัวเอง ซึ่งทุกวิธีสามารถช่วยทำให้หลุมสิวดีขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่มีวิธีไหนที่สามารถได้ผล 100 % สำหรับวิธีการรักษาหลุมสิว มีดังต่อไปนี้

1. ทาครีมลบรอยแผลเป็น ควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน E , AHA , BHA เป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

2. การทายา ควรเลือกทายากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามิน A เช่น Retin A เป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง

3. การทานยา ควรทานยาที่สกัดจากอนุพันธ์วิตามิน A (Retinoids) เช่น Roaccutance, Acnotim , Lsortretinoin เป็นการช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง
4. การลอกผิวหนังด้วยกรดผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น AHA , BHA, PHA เป็นการทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกมา และเกิดการซ่อมแซมและดันหลุมสิวให้ดีขึ้น

5. แต้มกรด TCA เป็นการทำให้เซลล์ผิวหนังด้านบนหลุดออกมา และเกิดการซ่อมแซมและดันหลุมสิวให้ดีขึ้นใหม่

6. งดแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอลล์ มีฤทธิ์ในการยับยั้งการสร้างคอลลาเจน ในขณะที่กำลังรักษาหลุมสิว จึงควรที่จะงดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 

การป้องกันการเกิดหลุมสิว



การรักษาหลุมสิวที่ดีนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกันการเกิดหลุมสิวใหม่ขึ้น เมื่อเกิดสิวอักเสบขึ้น ต้องรักษาให้หายจากอาการอักเสบให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งสิวอักเสบอยู่บนใบหน้าเรามากท่าไหร่ โอกาสในการที่จะเกิดแผลเป็นบนใบหน้าก็จะมีมากเท่านั้น โดยการทายาฆ่าเชื้อสิว เช่น Benzac, Panoxly การฉีด Steroid หรือทานยาปฏิชีวนะ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีวิธีการป้องกันอื่นๆ ที่ควรรู้ ดังต่อไปนี้

1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่นละออง ควันรถ หรือควันมากๆ เพราะจะมีแบคทีเรียและคราบสกปรกมาอุดตันที่รูขุมขน ทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้น

2. อย่าเอามือไปยุ่งกับใบหน้าเกินความจำเป็น เช่น การล้วง แคะ แกะ เกา ควรสัมผัสกับใบหน้าเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะมือของเรามักเต็มไปด้วยคราบสกปรก และเชื้อแบคทีเรีย 

3. ห้ามใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพราะจะยิ่งทำให้เกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้น

4. กำจัดความมันบนใบหน้า โดยใช้กระดาษซับมัน ควรทำเฉพาะเมื่อใบหน้ามีความมันมากๆเท่านั้น

5. สระผมทุกวัน โดยเฉพาะคนที่ผมยาวปิดหน้าผาก หรือแก้มทั้งสองข้าง เพราะผมของเราก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และสิ่งสกปรกเช่นกัน

6. ไม่ควรนอนดึกเกิน 4 ทุ่ม เพราะยิ่งนอนดึกมากเท่าไหร่ สิวก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น

7. อย่าล้างหน้าบ่อย ควรล้างเพียงวันละ 2 ครั้ง ในตอนเช้า และตอนเย็นเท่านั้น ในช่วงกลางวันหากหน้ามันมาก ควรใช้กระดาษซับมันแทนการล้างหน้า

8. ทำความสะอาดผิวหน้าทุกครั้งก่อนนอน

9. ถ้าหากเป็นสิวบ่อยๆ ควรทายาฆ่าเชื้อหัวสิว เช่น clindamycin, mupirocin, erythromycin +

ที่สำคัญที่สุดคือ พึงท่องเอาไว้ในใจเสมอเวลาเกิดสิวขึ้นบนใบหน้าว่า การรักษาสิวนั้น ถูกกว่าการรักษาแผลเป็น หรือหลุมที่เกิดขึ้นจากสิวหลายเท่านัก เพราะการรักษาหลุมสิว โดยส่วนใหญ่ต้องใช้เวลานาน อาจจะเป็นปี กว่าที่คอลลาเจนจะสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทนแทน

10. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดความมันบนใบหน้า การลดความมันบนใบหน้าโดยการใช้กระดาษซับมัน สามารถช่วยลดความมันได้เพียงชั่วคราว เพราะต่อมไขมันก็จะผลิตไขมันออกมาทดแทนในส่วนที่หายไปอยู่ดี วิธีแก้ไขที่ถูกต้องคือ ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันและลดการเกิดไขมัน ที่สำคัญคือควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลง ซึ่งจะทำให้การผลิตไขมันน้อยลงไปด้วย

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2557

มาเลือกใช้ โลชั่นที่ช่วยในเรื่องของผิวขาวกันเถอะ

การทาครีม หรือ โลชั่น เป็นวิธีการบำรุงผิวอย่างหนึ่ง เพื่อเสริมสร้างความชุ่มชื้นแก่ผิวพรรณ

และแก้ไขปัญหาต่างๆ เช่น ผิวหยาบกร้าน ผิวแห้ง ผิวหมองคล้ำ เป็นต้น


การทาโลชั่น นั้น สามารถทาได้ตลอดเวลา หลังจากอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด และให้ผลดีมากใน

เวลากลางคืน หากมีการบำรุงผิวแล้ว ให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อนในช่วงเวลากลางคืน โลชั่นและร่างกาย

จะช่วยให้ผิวพรรณดูดีขึ้น



เมื่อรู้ดังนั้นแล้ว อย่างน้อย เวลาเช้าหลังอาบน้ำ และเวลากลางคืน เราต้องทาโลชั่นกันอยู่แล้ว คุณสาวๆ

คงไม่เพียงต้องการเรื่องของความชุ่มชื้นกันอย่างเดียวใช่ไหมล่ะคะ เพราะ โลชั่นช่วยเรื่องอื่นได้ด้วย เมื่อ

มีเวลาทาโลชั่นแล้ว ให้ได้ประโยชน์ควบคู่กันไปเลยดีกว่า


โลชั่น ขาว


นั่นคือ ต้องเป็นโลชั่นเพื่อการสร้างความขาว ทำให้ผิวขาวไปด้วยเลยในตัวจะดีกว่า


โลชั่น เพื่อผิวขาว ที่ดี ต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ ส่วนผสมคะ ที่จะต้องมีคุณสมบัติเพิ่มความขาว

กระจ่างใสได้ โดยไม่เกิดอาหารแพ้ ปลอดภัย ไม่มีสารตกค้าง เพื่อความขาวใส อย่างต่อเนื่อง
ส่วนผสมสำหรับโลชั่นผิวขาว ที่ควรใช้ ก็ได้แก่ คอลลาเจน วิตามินซี กลูตาไธโอน และมะหาด คะ

หรือจะเป็นส่วนผสม เพียงอย่างใด อย่างหนึ่ง หรือทั้งหมดรวมกันก็ได้นะคะ เพื่อความขาวใส ลองเลือกที่

มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่เหนียวเนอะนะ เพื่อเวลาใช้โลชั่น จะสามารถสร้างความผ่อนคลายไปได้ในตัว ช่วย

สร้างความรู้สึกดีจากกลิ่นที่ส่งออกมาได้และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีส่วนผสมที่กล่าวมา เพื่อช่วยในเรื่องของความขาวแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ เมื่อทาโลชั่นแล้ว ควรทาครีมกันแดด เพิ่มเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกัน และกรองแสงแดด ไม่ให้ทำร้ายผิวด้วยนะคะ ไม่เช่นนั้นเราบำรุง เรารักษา แต่เราไม่ป้องกัน ก็ไม่เป็นผลคะ

Yume COLLAGEN GLUTATHIONE PLUS


ยูเมะ คอลลาเจน 30 ซอง 1 กล่อง กล่องละ 1099 บาท
ยูเมะ คอลลาเจน คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก ของประเทศญี่ปุ่น
-inulin (ไฟเบอร์) เพิ่มกากในระบบทางเดินอาหาร ช่วนกระตุ้นการขับถ่าย
-sugarlose สารให้ความหวานแทนน้ำตาล ไม่มีพลังงาน
 วิธีรับประทาน ยูเมะคอลลาเจน 16000 มิลลิกรัม : 
สูตร 1 OverDose (วันละ 1 ซองก้อเพียงพอแล้วค่ะ)ฉีก YUME Collagen 20000mg 1 ซอง
ผสมในน้ำเย็น 1 แก้ว คนให้เข้ากันแล้วดื่มได้เลย 

หรืออีกวิธีฉีกซอง YUME Collagen แล้วเทผงลงขวดน้ำดื่มใส่น้ำเย็นตามพอประมาณ

เชคให้เข้ากันแล้วดื่มได้ทันที วิธีนี้จะสะดวกและละลายเร็วกว่าค่ะ

วิธีเก็บรักษา ยูเมะ คอลลาเจน
เก็บในที่แห้ง ปราศจากความชื้นและห่างจากแสงแดด

YUME Collagen กลิ่นเลมอน รสชาติหอมหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม

ส่วนประกอบที่สำคัญ YUME Collagen

คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก 9000 มก.
คอลลาเจนไตรแปปไทม์ 1000 มก.
แอล-กลูต้าไธโอน 250 มก.
แอล-ซิสเทอิน 500 มก.
แอล-กลูตามีน 2000 มก.
แอล-ไกลซีน 100 มก.
อะเชโลล่าเชอร์รี่ สกัด 100 มก.
อัลฟ่า ไลโปอิก แอซิท 50 กมก.
ซิงค์ อะมิโน แอซิท คีเลท 75

น้ำหนักสุทธิ (Net Weight) ของ ยูเมะ Collagen :20 g * 30 Sachets (16,000 มิลลิกรัม : 1 ซอง)

ยูเมะคอลลาเจน มีดีและแตกต่างอย่างไร ?1. ยูเมะคอลลาเจนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยบำรุงเรื่องผิว
2. อย่าลืมว่าทานคอลลาเจนเพียงอย่างเดียวไม่มีส่วนช่วยให้ผิวขาว ต่อให้ทานวันละเป็นแสนมิลลิกรัมก้อไม่ขาว
3. ยูเมะคอลลาเจนมีสารเพื่อผิวขาวทั้ง 4 แอล คือแอล-กลูต้าไธโอน , แอล-ซีทเตอีน , แอล-กลูตามีน และแอล-ไกลซีน
4. ยูเมะคอลลาเจน มีสาร ala หรือ กรดแอลฟาไลโปอิค 
5. ยูเมะคอลลาเจน มีส่วนประกอบสำคัญของ Zinc เข้มข้นมากซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดสิว
6. ยูเมะคอลลาเจนมีส่วนประกอบของอะเซโรล่าเชอรี่ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของคอลลาเจน
7. คอลลาเจนทานวันละเท่าไหร่ก้อได้ ไม่มีอันตราย แต่ร่างกายของคนเราจะมีระดับการดูดซึมได้มากหรือน้อยแตกต่างกันไป 
ฉะนั้นควรทานแค่วันละไม่เกิน 10,000 มิลลิกรัม ตามที่องค์การอาหารและยาประเทศไทยกำหนด
8. ยูเมะคอลลาเจนสามารถทานได้วันละ 1 ซอง แนะนำให้ทานช่วงท้องว่างก่อนนอน
9. ยูเมะคอลลาเจนผ่าน อย. เรียบร้อย ฉะนั้นจึงมั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตรายต่อระบบร่างกายโดยรวมอย่างแน่นอน



ยูเมะคอลลาเจน
คอลลาเจนเข้มข้นสูงสุด 10,000 มิลลิกรัม ในปริมาณ : ซอง 16,000 มิลลิกรัม 
จัดเต็มทั้ง แอล-กลูต้าไธโอน, แอล-ซีทเตอีน, แอล-ไกลซีน,และยังมี
แอล-กลูตามีน มากที่สุดในประเทศไทยถึง 2,000 มิลลิกรัม


*ผลลัพธ์การใช้ผลิตภัณฑ์ อาจไม่เท่ากัน และแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของบุคคลนั้นๆ

rLalRF.jpg [600x1162px] ฝากรูป




วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Colly Plus 10000mg

 CollyPlus 10000 mg
 
Colly Plus คอลลี่ พลัส คอลลาเจนเข้มข้น 10,000 MG กล่องละ 15 ซอง ปกติราคา 1,950 บาท ลดพิเศษเพียง ราคา 1,500 บาท เท่านั้น
 
Colly Plus 10,000 mg คอลลี่พลัส เพิ่มแอลกลูต้าไธโอน และสารอาหารอื่นๆ อีกเพียบ เข้มข้นกว่าเดิมผสมเนื้อสตรอเบอรี่ด้วยเป็นคอลลาเจนเกรดพรี่เมี่ยม AAA นำเข้าจากญี่ปุ่น มาตราฐาน อย. GMP, HACCP, Halal เพื่อผิวใสเนียนเด้งเร่งด่วน ขาวใสอมชมพูมีออร่า
Colly Plus 10,000 mg : Collagen เข้มข้น 10,000 mg
Colly Collagen เป็นคอลลาเจนนำเข้าจากญี่ปุ่น และทางโรงงานผู้ผลิตที่ญี่ปุ่น ควบคุมการผลิตตั้งแต่ขั้นเพาะพันธุ์ ลูกปลาจนมาถึงเป็นผงคอลลาเจนแบบพรี่เมี่ยม (แต่ใส่คอลลาเจนต่อ 1 หน่วยบริโภค มากถึง 10000 มิลลิกรัม) มวลโมเลกุลเล็กมาก ทำให้ดูดซึมได้ดีกว่าหลาย ๆ ยี่ห้อ ดูดซึมได้ตั้งแต่ในช่องปาก ที่สำคัญไม่ตกค้างในร่างกาย พกพาสะดวก เพราะบรรจุเป็นซอง ได้รับมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา (อย.),GMP,HACCP และ Halal รสชาติอร่อย ทานง่าย ไม่มีกลิ่นคาว หอมกลิ่นสตรอเบอรี่ เห็นผลชัดเจน เรื่องความนุ่ม ความใส เพราะใส่วิตามินซีเข้มข้น + L glysine (กรดอะมิโน ที่เป็นสารตั้งต้น ให้ร่างกายสร้างสารกลูต้าไธโอนได้เองโดยธรรมชาติ)
- สีผงของตัว Colly plus 10,000 mg. จะเป็นผงสีชมพูคะ ซึ่งผงสีชมพูได้จากสีธรรมชาติ เพราะผสมเนื้อสตอเบอร์รี่เเท้ เข้าไปด้วยคะ เวลาชงทานจะเห็นเป็นเหมือนตะกอนเกล็ด ๆ ไม่เป็นอันตรายนะคะ เพราะตัวคอลลาเจนได้ละลายหมดเเล้ว เเต่ที่เห็นเป็นผงตะกอนเป็นของเนื้อสตอร์เบอร์รี่จ๊าา ทำให้มีกากใยอาหารเพิ่มเข้าไปด้วย สินค้านำเข้าเกรดพรีเมี่ยม เน้นคุณภาพเหมือนเดิมจ๊าา ^^
- รสชาติ จะเป็นรสสตอร์เบอร์วรี่ผสมกับส้มค่ะ เป็นรสสตอร์วเบอร์รี่ ซีทรัส จะรสชาติเข้มข้นยิ่งขึ้น อมเปรี้ยวนิดๆ เพราะเพิ่มวิตามินซี เเละอะเชอร่าเชอร์รี่ เข้าไป ซึ่งจะเสริมประสิทธิภาพการดูดซึมคอลลาเจนได้มากยิ่งขึ้นด้วยจ๊ะ อีกทั้งทำให้ผิวเราสว่างใส ไม่ต้องไปทานวิตามิน C เพิ่มอีกเเล้วคะ
- เพิ่มตระกูล L(เเอล) เข้าไปจากเดิมที่มีเเค่เเอลไกลซีน โดยเพิ่ม L-กลูต้าไธโอน (สูงสุดถึง 250 mg ตามที่ อ.ย อนุญาติ) ,L- กลูตามิน , L-ซิสเตอีน ตระกูลเเอล 3 ตัวนี้จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่ออยู่รวมกันคะ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพ ให้ร่างกายสามารถผลิตกลูต้า ได้เองตามธรรมชาติ ทำให้ผิวเราสว่าง กระจ่างใส มากยิ่งขึ้น
-เพิ่ม เบต้า เเคโรทีน เเละวิตามิน บี 3 ช่วยเรื่องความขาว ทำให้เสริมประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
รวมอนุพันธ์ของเหล่าวิตามินเข้มข้น ช่วยผิวใสเด้งในเวลาอันรวดเร็วค่ะ ผิวพรรณและใบหน้าดูเนียนนุ่ม ขาว มีออร่า กระจ่างใส และเต่งตึง ฟื้นฟูสภาพเซลล์ของผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้นจากภายใน!!

ส่วนประกอบสำคัญ Colly Plus 10,000 mg ใน 1 ซอง (15 กรัม)

- คอลลาเจน 10000 มิลลิกรัม
- แอล-กลูตามีน 60 มิลลิกรัม
- แอล-ซิสเตอีน 50 มิลลิกรัม
- แอล-กลูต้าไธโอน 25 มิลลิกรัม
- Glycine 10 มิลลิกรัม
- แคลเซียมแอสคอร์เบต 60 มิลลิกรัม
- ไนอะซินาไมด์ (วิตามิน บี 3) 20 มิลลิกรัม
- เบต้าแคโรทีน 10 มิลลิกรัม

ผลลัพธ์ของการทาน Colly Plus 10,000 mg

- หน้าใส มีออร่า หน้าเด้งขึ้น
- ผิวเรียบเนียน นุ่มขึ้น รูขุมขนเล็กลง
- รอยด่างดำ จางลงอย่างเห็นได้ชัด
- ขาวกระจ่างใสขึ้น ผิวใสขึ้น
- ประหยัดเงินและเวลามี่ต้องลองผิดลองถูก

ประโยชน์ของ Colly Plus Collagen 10,000 mg

ความหมองคล้ำของใบหน้าลดลง ใบหน้าดูขาว กระจ่างใส ผิวพรรณและใบหน้าดูเรียบเนียน นุ่มขึ้น ขาว มีออร่า กระจ่างใส และเต่งตึง ริ้วรอย ร่องลึก รอยตีนกา รอยสิว ดูลดลง ชะลอความแก่ของใบหน้าและผิวพรรณ ฟื้นฟูสภาพเซลล์ของผิวหนังแท้หรือผิวหนังชั้นใน ซึ่งจะเสื่อมสภาพและลดลงไปตามอายุ ทำให้ผิวพรรณดูดีขึ้นจากภายใน ช่วยฟื้นฟูสภาพผมเสียแตกปลาย และผิวหนังศรีษะไม่แข็งแรง ช่วยฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ เช่นข้อต่อ เอ็น กระดูกอ่อน ช่วยลดอาการบาดเจ็บของอวัยวะ
ลักษณะซองเป็นสีเงิน มันวาว
ลักษณะกล่องจะเป็นปั้มนูน รอบฉลากโลโก้ เป็นสีทอง มันวาว มีเลขที่ อ.ย ลอตวันผลิต วันหมดอายุ ขนาดกล่องความหนาเล็กลงกว่าตัวเดิม บรรจุกล่องละ 15 ซอง ซองละ 15 กรัม
วิธีรับประทาน
ละลาย ผลิตภัณฑ์ 1 ซอง (15 g.) ในน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำเย็น ปริมาณ 100-150 ml เเละใช้ช้อนคนให้ละลาย ปริมาณน้ำอาจปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมได้ เเล้วเเต่ว่าชอบทานเข้มข้นมากน้อยเเค่ไหนค่ะ
สินค้าเข้าเร็วนี้นะคะ อดใจรอกันหน่อยน๊าาา ^^
รับรองคุณภาพเข้มข้น&อร่อยๆเว่อร์ๆจ้าา

เลขจดแจ้ง อ.ย 10-1-04741-1-0764 มั่นใจว่าผู้บริโภคปลอดภัยเเน่นอนคะ

สุดยอดวิธีช่วยลดสิวอุดตันที่ได้ผลที่สุด

 


สิวอุดตัน หรือ สิวไม่มีหัว เกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกับสิวประเภทอื่นๆ เช่น เกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์ ความมันของใบหน้า คราบสกปรกจากมลภาวะ รวมไปถึงเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแต่ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนฝังลึกอยู่ภายใต้ผิวหนัง และเป็นประเภทของสิวที่พบได้มากกว่า 70% ของปัญหาสิวที่พบ โดยสามารถพบได้ในทุกกลุ่มอายุ ทุกเพศ โดยส่วนใหญ่มักจะพบในวัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว

ลักษณะของสิวอุดตัน


ลักษณะของสิวอุดตัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นตุ่มนูนแข็ง สำหรับบางคนอาจเป็นก้อนไตฝังอยู่บนผิว โดยสังเกตได้ง่ายๆ ว่า สิวอุดตันจะเป็นสิวที่ไม่มีหัวขาว หรือหัวดำ ขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนเหมือนกับสิวประเภทอื่นๆ มักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากๆ มักเกิดขึ้นได้บ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว โดยเฉพาะที่แผ่นหลัง ซึ่งเป็นจุดที่มีต่อมไขมัน Sebaceous gland จำนวนมาก

อย่ามองข้ามอันตรายของสิวอุดตัน!

สิวอุดตัน ถ้าหากมองเพียงผิวเผินอาจจะดูเหมือนเป็นประเภทของสิวที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก เนื่องจากเป็นสิวที่มองเห็นไม่ค่อยชัดเจนจนน่าเกลียดเหมือนกับสิวหัวหนอง สิวหัวแดง สิงหัวดำ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิวอุดตัน เป็นจุดเริ่มต้นของสิวอักเสบ สิวหัวช้าง สิวหัวหนอง ฯลฯ ด้วยเหตุผลดั่งกล่าว คุณสาวๆ จึงควรที่จะทำการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม โดยการกำจัดสิวอุดตัน ซึ่งจะเป็นการช่วยทำให้สิวชนิดอื่นๆไม่เกิดขึ้นมาตามไปด้วย

วิธีการรักษาสิวอุดตัน


วิธีการรักษาสิวอุดตัน สามารถทำได้หลายวิธี แต่สำหรับในวันนี้จะขอยกวิธีที่ได้รับความนิยมมาแนะนำให้คุณสาวๆรู้จักกันก่อน ดังต่อไปนี้

การรักษาสิวอุดตันเบื้องต้นด้วยตัวเอง

สำหรับในกรณีที่เป็นสิวอุดตันไม่มากนัก คุณสาวๆสามารถที่จะทำการรักษาสิวอุดตันได้ด้วยตัวเอง โดยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. เริ่มต้นจากการรักษาความสะอาดของใบหน้า หลังจากที่ต้องออกไปผจญกับมลภาวะภายนอก มาทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็ควรที่จะทำความสะอาดใบหน้า ไม่ให้มีคราบสกปรกหลงเหลือตกค้างอยู่ รวมไปถึงการทำความสะอาดใบหน้าหลังจากที่ใช้เครื่องสำอางแต่งหน้า มีข้อที่ควรระวังอีกประการคือ หากเริ่มมีสิวอุดตันบนใบหน้า ควรงดการแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง เพราะจะยิ่งทำให้เกิดการอุดตันของสิวมากยิ่งขึ้น

2. การใช้ยารักษาสิวชนิดทา โดยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยรักษาสิว ที่มีส่วนประกอบของกลุ่ม เบนซอยล์เพอร์ออกไซต์ (BP) หากเพิ่งเริ่มใช้ควรที่จะเริ่มจากผลิตภัณฑ์ที่มีค่าเปอร์เซ็นต์น้อยๆ, กรดไซลิไซลิก (BHA) และกลุ่มคลินดามันซิน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในรูปแบบของโลชั่น ครีมแต้ม เป็นต้น

ครีมทาสิวอุดตัน ในกลุ่ม Tretionoin ที่ได้รับความนิยม ซึ่งมีความเข้มข้นต่างกัน ตั้งแต่ 0.025-0.1% โดยมีลักษณะเป็นเจล หรือน้ำ ยิ่งความเข้มข้นยิ่งสูงก็ยิ่งละลายสิวอุดตันได้ดี แต่จะมีผลค้างเคียงทำให้ใบหน้าเกิดความระคายเคืองมากขึ้นตามไปด้วย

ที่มาจาก www.kondoode.com

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

อะไรนะ เซรั่มหน้าเงา ช่วยให้หน้าเงาหน้าใสดุจสาวเกาหลี

สำหรับสาวๆ ที่ต้องการให้ใบหน้าเงาหน้าใส มีออร่า เปล่งปลั่งชวนให้คนมอง เหมือนดั่งสาวเกาหลี คงจะเคยได้ยินชื่อผลิตภัณฑ์สุดฮิต ที่สามารถตอบสนองความต้องการของคุณสาวๆ ที่มีการโฆษณาขายกันเป็นจำนวนมากในอินเตอร์เน็ตอย่างเซรั่มหน้าเงา แต่จริงๆ แล้วเซรั่มหน้าเงา คืออะไร? และอันตรายหรือไม่อย่างไรนั้น? สามารถติดตามได้ในบทความชิ้นนี้เลย

เซรั่มหน้าเงาคืออะไร?


เซรั่มหน้าเงา คือ เซรั่มเนื้อบางเบาที่มีส่วนผสมของเกร็ดอัญมณี กากเพชร หรือผงมุก โดยส่วนใหญ่เนื้อของเซรั่มจะมีสีชมพูใส มีกลิ่นหอมนิดๆ แต่ในปัจจุบันเริ่มมีสูตรและสีสันที่มากขึ้นออกมาวางขาย เช่น เซรั่มสีขาว สูตรไข่มุก สีทองสูตรอัลฟ่าอาร์บูติน+ทองคำ สีส้ม สูครวิตามินซีจากผลส้ม และสีน้ำเงิน สูตรคอลลาเจน Q10 เป็นต้น
 

เซรั่มหน้าเงาที่ดี ต้องมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง?

เซรั่มหน้าเงาที่ดี จะต้องมีส่วนช่วยทำให้ผิวหน้าขาวใส เงาวาว ดูมีออร่า หน้าเด้ง และยังช่วยลดสิว ผ้า กระ จุดด่างดำ หน้าหมองคล้ำ ริ้วรอยร่องลึก กระชับรูขุมขน ทาแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะ ใช้ได้กับทุกสภาพผิว อุดมด้วยวิตามิน พร้อมทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และผงเกล็ดอัญมณี ที่ช่วยกระชับรูขุมขน ให้ค่อยๆเล็กลง เมื่อใช้เป็นประจำจะช่วยมอบความชุ่มชื้นและความกระจ่างใสให้กับใบหน้าตลอดทั้งวัน

 


เซรั่มหน้าเงาที่ขายกันในอินเตอร์เน็ตอันตรายอย่างไร?

สิ่งที่จำเป็นต้องระวัง หากต้องการซื้อเซรั่มหน้าเงาจากอินเตอร์เน็ต มีดังต่อไปนี้

1. ราคาถูกมากเพียงหลักร้อยบาท แต่คุณภาพดีจนโอเว่อร์ การโฆษณาเซรั่มหน้าเงาส่วนใหญ่ที่ขายกันในท้องตลาด มักจะมีการอวดอ้างสรรพคุณที่ดีเยี่ยม จนสาวๆอดใจแทบไม่ได้จนอยากจะซื้อหามาทดลองใช้ อาทิเช่น

“เซรั่มหน้าเงาของเราพอทาปุ๊บผิวจะตึงเป๊ะมาก หน้าไม่มัน ย้ำ ไม่มัน !!” ..... หรือ

“เซรั่มหน้าเงา สุดฮิต !! เกรดพรีเมี่ยม ...!! ไม่ได้ใส่กากเพชรหรือชิมเมอร์ ของเราเป็นผงมุก!!... เป็นเซรั่มที่บำรุงผิวอย่างล้ำลึก ทาปุ้ปหน้าใสปั้บ ไม่เว่อร์ ไม่มัน”.... เป็นต้น

พร้อมส่วนประกอบมากมายที่มีประสิทธิภาพในการช่วยบำรุงผิวที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ในราคาแสนถูกเพียงหลักร้อยบาทเท่านั้นสำหรับสาวๆที่ต้องการใบหน้าขาวเนียนแต่นิยมสินค้าราคาถูก ก็ต้องพึงระวังความเสี่ยงที่จะตามมากับใบหน้ากันด้วยนะจ๊ะ
2. มี อย. รับรองจริงหรือไม่ การตรวจเช็ค อย. จากผลิตภัณฑ์ เป็นพื้นฐานสำคัญในการเลือกซื้อสินค้า โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อย่างเซรั่มหน้าเงาที่ต้องใช้กับใบหน้าที่มีความบอบบาง เพราะอย่างทีได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า

เซรั่มหน้าเงาในปัจจุบันต่างพากันโฆษณาสรรพคุณสินค้าจนโอเว่อร์ ในขณะที่ราคาแสนถูก แถมยังไม่มีฉลากข้างขวดบอกทั้งส่วนผสม บริษัทที่ผลิต และ อย. รับรองที่ชัดเจน
3. ระวังสินค้าปลอม ในปัจจุบันมีการปลอมแปลงสินค้าประเภทเครื่องสำอางกันเป็นจำนวนมาก แม้แต่เซรั่มหน้าเงาที่พากันขายในอินเตอร์เน็ตที่ไม่ค่อยมีคุณภาพเอง ก็ยังอุตส่าห์มีของปลอมออกมาวางขาย แถมบางครั้งยังมีพ่อค้าแม่ค้าที่ไร้จรรยาบรรณที่โฆษณาขายสินค้าเซรั่มหน้าเงา ต่อพอถึงเวลาส่งสินค้าจริงกลับส่งครีมทาตัวบรรจุไปให้ในขวดเซรั่มหน้าเงา

ถ้าหากไม่ระวังให้ดีใบหน้าอาจจะพังไม่รู้ตัว แล้วต้องมาเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเพื่อรักษาใบหน้าให้กลับมาเหมือนเดิม หลังจากที่ได้เห็นทั้งประโยชน์และข้อพึงระวังในการเลือกซื้อเซรั่มหน้าเงาจากในท้องตลาดกันแล้ว คุณสาวๆ ก็คงเริ่มจะมีข้อสงสัยแล้วว่า ถึงแม้ว่าเซรั่มหน้าเงาจะดีต่อใบหน้า

แต่จะเลือกซื้อเซรั่มหน้าเงาจากผลิตภัณฑ์ยี่ห้อไหนดีล่ะ ถึงจะมีความปลอดภัย และไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลข้างเคียงกับใบหน้าตามมาในภายหลัง ซึ่งในครั้งนี้จะขอแนะนำสินค้าที่ได้ผ่านการรับรองที่ได้มาตรฐาน มี อย.รับรอง พร้อมกับผ่านการรีวิวจากผู้ใช้มาอย่างมากมายแล้วว่ามีประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยม

วันเสาร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รวมวิธีแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ ลดขอบตาคล้ำให้หาย

"ปัญหาขอบตาดำคล้ำ" คงเป็นปัญหาที่หลายๆคนยังแก้ไม่ตก ไม่รู้จะทำยังไงกันดี ลองมาหลายวิธีก็ไม่ได้ผล ซึ่งจริงๆแล้วก่อนที่เราจะหาวิธีรักษาขอบตาคล้ำนั้น เราจำเป็นต้องหาสาเหตุให้เจอเสียก่อน ว่าการที่ตาเราดำเหมือนหมีแพนด้านั้นมีที่มามาจากอะไรกันแน่ เพราะสาเหตุบางอย่างถ้าเรารู้ที่มามันแก้ไม่ยาก แต่บางอย่างถึงเรารู้แต่ก็ไม่สามารถแก้ไข หรือทำอะไรได้มากก็มี



    เพราะฉะนั้นวันนี้เรามาดูกันว่า สาเหตุที่ทำให้ขอบตาของเราดำคล้ำนั้นเกิดจากอะไร แล้วเราจะใช้วิธีไหนในการแก้ปัญหาให้หมดไปได้บ้าง ตามมาดูไปทีละข้อได้เลย



ตาคล้ำเพราะนอนดึก


ปัญหานี้เป็นกันเยอะ ส่วนใหญ่ที่คนเราขอบตาดำคล้ำเป็นหมีแพนด้าก็มาจากการนอนดึกนี่แหละ วิธีแก้ที่ดีที่สุดที่ทุกคนก็คงรู้กันอยู่แล้วนั่นก็คือ ก็เข้านอนแต่หัวค่ำซะก็หมดเรื่อง (ตอบง่ายนะ) แต่ปัญหาจริงมันก็อยู่ที่ว่ามันเข้านอนแต่หัวค่ำไม่ได้ ก็งานมันเร่ง , อยากนอนแล้ว หนังสือสอบยังอ่านไม่ครบเลย , นี่กำลังจะผ่านด่านสำคัญแล้วขอเล่นต่ออีกนิดหนึ่งนะ , ทำงานมาเครียดทั้งวัน เย็นนี้ไปปลดปล่อยความเครียดกันที่ไหนดีเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่มันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เราหลีกเลี่ยงการนอนดึกไม่ได้ สุดท้ายก็คงต้องหาวิธีแก้ปัญหาขอบตาคล้ำมาช่วยแล้วล่ะ ขืนปล่อยไว้หน้าอาจจะดูหมองจนดูกลายเป็นคนป่วยได้



พอกตาด้วยธรรมชาติ

วิธีนี้ง่ายมาก แค่เราไปหาซื้อแตงกวา มันฝรั่ง หรือลูกแพร์ เอามาล้างให้สะอาด และฝานออกเป็นชิ้นบางๆ จากนั้นก็เอามาพอกหรือวางทิ้งไว้ที่ตา โดยใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที ในผลไม้พวกนี้จะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซี ซึ่งจะช่วยให้สีดำคล้ำที่ขอบตาเราลดลงได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดบริเวณขอบตาให้ดีมากขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ความคล้ำที่ขอบตาของเราดูจางลงได้ ทำต่อเนื่องทุกเย็นรับรองว่าอาการขอบตาคล้ำของเราดีขึ้นอย่างแน่นอน

พอกตาด้วยน้ำ

การพอกตาด้วยน้ำที่จะแนะนำวันนี้จะมีอยู่ 3 น้ำด้วยกัน คือ

1. น้ำอุ่น
2. น้ำเกลือ
3. น้ำนม(นมกล่องรสจืด)

ส่วนวิธีการทำนั้นทำเหมือนกันทั้ง 3 น้ำก็คือ ให้เราเอาสำลีไปชุบน้ำที่ว่า แล้วเอามาแปะตาที่ดำคล้ำของเรา โดยน้ำทั้ง 3 ทั้งน้ำอุ่น น้ำเกลือ และน้ำนม จะช่วยให้ขอบตาที่ดำคล้ำของเราจางลง กลับมาเป็นเราที่มีผิวรอบดวงตาที่สดใสเหมือนเดิม แต่มีเคล็ดลับเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่ง คือใครที่จะใช้น้ำนมมาพอกตาให้เอาไปแช่เย็นก่อน จะช่วยให้การแก้ปัญหาขอบตาคล้ำมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


ทาครีมรอบดวงตา แก้ปัญหาตาคล้ำ


ตาคล้ำเพราะกรรมพันธุ์


ตาคล้ำเพราะกรรมพันธุ์นี่บอกตามตรงว่าแก้ปัญหาได้ยากที่สุด เนื่องมาจากผิวที่บริเวณรอบตาหรือขอบตาของเรามีการสร้างเม็ดสีเมลานินมากกว่าปกติ โดยเป็นเรื่องของ DNA ที่ได้รับสืบทอดกันมา เพราะฉะนั้นหากเราต้องการให้ผิวรอบดวงตาของเราคล้ำน้อยลง หรือดูขาวขึ้น ก็ต้องไปหาพวกครีมทารอบดวงตา หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสาร Whitening มาทาเพื่อเป็นการยับยั้งการสร้างเม็ดสีบริเวณขอบตาลง ทำให้สีของขอบตาเข้มน้อยลงหรือจางลง ซึ่งถ้าจะให้ดีอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน jojoba oil เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวบริเวณรอบดวงตา โดยจะช่วยไม่ให้ผิวบริเวณนั้นเกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้น และที่สำคัญต้องทาครีมรอบดวงตาที่ว่าอย่างต่อเนื่องถึงจะเห็นผล เพราะถ้าหยุดทาเมื่อไร ขอบตาก็จะกลับมาดำคล้ำอีกได้ทุกเมื่อ


     ก็จบกันไปสำหรับเคล็ดลับการแก้ปัญหาขอบตาดำคล้ำ บอกลาตาแบบหมีแพนด้า กลับมาเป็นตาของคนน่ารักที่สดใสตามเดิม ยังไงซะก็อย่าลืมว่าการนอนดึก พักผ่อนน้อย เป็นสิ่งที่ทำให้ตาของเราคล้ำได้ง่าย อีกทั้งยังทำให้สุขภาพร่างกายโดยรวมของเราอ่อนแอลงด้วย ก็ต้องระวังจุดนี้เอาไว้มากๆ เดี๋ยวหน้าจะแก่ก่อนวัยไม่รู้ด้วยนะ อิอิ

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดไม่ลับสำหรับผิวไหม้แดด

 ผิวดำแดด ทำไงดีนะ

ผิวดำแดด     

 หากผิวมีการแสบไหม้ แดง หรือเพิ่งตากแดดมา ให้รีบอาบน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ แล้วนำผ้าขนหนูชุบน้ำเย็นหรือน้ำแร่ประคบทิ้งไว้  เน้นบริเวณที่มีอาการไหม้หรือแดงมากจะช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี 

       เสริมสวยให้ผิวสักหน่อย หากวันไหนมีเวลาว่างให้จัดการพอกน้ำนม โยเกิร์ต หรือขมิ้นให้ทั่วทั้งตัว ทิ้งไว้ 30 นาที โดยทำต่อเนื่องสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง รับรองผิวพรรณจะค่อย ๆ กระจ่างใส นวลเนียน น่าสัมผัสอย่างแน่นอน

       สครับผลัดเซลล์ผิวเก่าออก คืออีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเปลี่ยนผิวเดิมที่ดำคล้ำไม่น่ามองให้สดใสขึ้นทันตา ด้วยการนำมะขามเปียก น้ำตาลทรายแดง หรือเกลือขัดผิว เลือกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ขัดนวดวน ๆ อย่างเบามือขณะอาบน้ำเป็นประจำ จะช่วยฟื้นฟูผิวดำแดดให้ดูดีได้จนใคร ๆ ต้องร้องทักเลยล่ะ

       จัดหนักครีมบำรุงผิว เลือกใช้ครีม โลชั่น และเซรั่มที่มีส่วนผสมของไวท์เทนนิ่ง วิตามินบี 3 วิตามินซี ซึ่งจะเข้ามาทำหน้าที่ปรับสภาพผิวดำเสียจากแสงแดดให้ขาวเนียนผ่องใสขึ้น

       เสริมวิตามินบำรุงผิวสวยจากภายในเสริมสวยภายนอกกันแล้วก็ต้องมาบำรุงภายในกันบ้าง ด้วยการมอบวิตามินเอ อี ซีรวมไปถึงสารอาหารดี ๆ ลงสู่ผิว ทั้งผักใบเขียว ปลาทะเล ธัญพืช โยเกิร์ต ฝรั่ง ฟักทอง น้ำผลไม้สด ขอบอกว่าอาหารเริ่ด ๆ แบบนี้กินทุกวัน ผิวสวยทุกวันนะ

       ครีมกันแดด ลืมไม่ได้เด็ดขาด ก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง หรือไม่เว้นแม้กระทั่งอยู่ในบ้าน ก็ควรเลือกทาครีมกันแดดที่ใบหน้าและผิวกายทุกครั้ง โดยเลือกค่า SPF ให้เหมาะกับกิจกรรมของตัวเอง หากวันไหนจำเป็นต้องเจอแดดจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ให้เลือกค่า SPF ตั้งแต่ 60 ขึ้นไป ทางที่ดีควรมีร่มพับ หมวกหรือครีมกันแดดหลอดเล็ก ๆ ติดกระเป๋าไว้จะดีกว่าจ้า  

วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557

รักษาสิวหัวช้าง ด้วยวิธีการบีบสิว หรือทาครีมแต้มสิวดีกว่ากัน

รักษาสิวหัวช้าง ด้วยวิธีการบีบสิว หรือทาครีมแต้มสิวดีกว่ากัน

สิวหัวช้าง ขึ้นชื่อว่า “ช้าง” คุณสาวๆ ก็คงที่จะสามารถจินตนาการได้ถึงความใหญ่ของมันได้ โดยปกติแล้วเพียงแค่เรื่องสิวเสี้ยนเม็ดเล็กๆดำๆ บนใบหน้า ก็ทำให้คุณสาวๆ รู้สึกกังวลจนต้องสรรหาวิธีมากำจัด หรือปกปิดเอาไว้เวลาที่ต้องออกไปข้างนอก แล้วยิ่งถ้าเป็นสิวหัวช้างเม็ดใหญ่โดดเด่น ก็ยิ่งพาลให้เครียดหนักมากยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับในวันนี้เราจะมาดูกันว่า วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ระหว่างวิธีการบีบสิวออก กับ วิธีการทาครีมแต้มสิว วิธีการไหนที่ได้ผลลัพธ์ดีต่อใบหน้าของคุณสาวๆ มากกว่ากัน

สิวหัวช้างคืออะไร?



ก่อนจะเข้าสู่วิธีการรักษาสิวหัวช้าง ก่อนอื่นเราควรมารู้จักกับเจ้าสิวหัวช้างกันก่อน “สิวหัวช้าง” หรือ สิวเม็ดใหญ่ เป็นสิวอักเสบชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อ P.acne บริเวณผิวหนัง จนเกิดการอักเสบหนักขึ้นกลายเป็นสิวหัวช้าง ซึ่งมักจะเกิดอาการเจ็บปวดควบคู่กับการอักเสบ

สิวหัวช้างมีจุดสังเกตที่เด่นชัดคือ เม็ดสิวที่มีขนาดใหญ่ สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน มีหลากหลายอาการทั้งชนิดอักเสบน้อยไปจนถึงอักเสบมาก ถ้าหากมีอาการอักเสบมากๆ สิวหัวช้างก็อาจจะกลายเป็นฝีอักเสบได้ โดยส่วนมากสิวหัวช้างจะไม่มีหัวสิว แต่ภายในนั้นจะมีน้ำหนองปนอยู่กับเลือดที่เสีย

ถ้าหากปล่อยเอาไว้จนสิวหัวช้างบวมเต็มที่ ก็จะเกิดการแตกออกมาเป็นน้ำหนองก่อนจะยุบตัวลงกลายเป็นรอยสีดำ เนื่องจากเซลล์ส่วนที่อักเสบเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่งรอยสีดำจะค่อยๆ จางหายไป แต่บางครั้งอาจจะเกิดรอยแผลเป็นขึ้นเมื่อหัวสิวแตก สิวหัวช้างมีโอกาสกลับมาเป็นอีกในบริเวณเดิม ถ้าหากไม่มีการฆ่าเชื้อ หรือการแก้ไขพฤติกรรมการรักษาความสะอาด

ที่นี้เรามาดูกันดีกว่าว่า วิธีการรักษาโดยการบีบสิวหัวช้างออก กับวิธีการรักษาด้วยการทาครีมแต้มสิว แบบไหนดีกว่ากัน?

การรักษาสิวหัวช้างด้วยการบีบออก

การรักษาสิวหัวช้าง โดยการรอเวลาให้เกิดการอักเสบจนกระทั่งมีหัวสิวแล้วค่อยบีบออกนั้น เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับมานาน ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับสิวหัวช้างโดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีหัวสิว มีเพียงอาการบวมแดงจนดำ เหมือนกับมีเลือกไปคั่งอยู่ในบริเวณนั้น หรืออาจจะมีหัวขึ้นในบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง แต่มีหัวสิวขนาดเล็กๆ อยู่ติดกัน 2-3 หัว สำหรับคนที่ใจร้อน พยายามที่จะบีบหัวสิวเล็กๆ เหล่านั้นออก 

โดยส่วนใหญ่สิ่งที่ออกมามักจะไม่ใช่หัวสิวแต่มักเป็นเลือดที่คั่งอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง การบีบออกในลักษณะดังกล่าว มักที่จะทำให้เกิดการอักเสบมากยิ่งขึ้นไปอีก หรือต่อให้สามารถบีบเอาสิวหัวช้างออกมาได้แล้ว ก็มักที่จะเกิดหลุมสิวขึ้น ซึ่งเจ้าหลุมสิวนั้น เป็นสิ่งที่ทำการรักษาได้ยากยิ่งกว่าการกำจัดสิวหัวช้างหลายเท่าทีเดียว

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ลอกหน้า ทาครีม หรือ ดูดสิวเสี้ยน วิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบไหน ได้ผลที่สุด

ลอกหน้า ทาครีม หรือ ดูดสิวเสี้ยน วิธีกำจัดสิวเสี้ยนแบบไหน ได้ผลที่สุด


สิวเสี้ยน เป็นหนึ่งในปัญหาเรื่องสิวที่ทำให้คุณสาวๆหลายคน ถึงกับต้องเสียความมั่นใจเมื่อถึงเวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน เพราะถึงแม้สิวเสี้ยนจะมีขนาดเม็ดที่เล็กเมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น แต่หัวขาวๆ ดำๆ ที่รวมตัวกันอยู่เป็นกระจุก ก็สร้างความโดดเด่นที่ทำให้คุณสาวๆ ต้องรู้สึกอายได้ไม่น้อยเลยทีเดียว 

สำหรับในปัจจุบันมี วิธีการกำจัดเจ้าสิวเสี้ยน ให้ออกไปจากใบหน้าอยู่หลายวิธี แต่วิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็ยังคงเป็นวิธีคลาสสิค 3 วิธี ได้แก่ วิธีการลอกหน้า การดูดสิวเสี้ยน และการทาครีมรักษาสิว ซึ่งในวันนี้จะมาขอทำการเปรียบเทียบกันว่า วิธีกำจัดสิวเสี้ยนเหล่านี้ วิธีการใดที่ได้ผลดีมากที่สุด..? 

...ก่อนอื่น เราต้องมารู้จักกับเจ้าสิวเสี้ยนตัวแสบกันสักเล็กน้อย แล้วค่อยไปรู้จักกับวิธีกำจัดสิวเสี้ยนให้อยู่หมัดกัน…

สิวเสี้ยนคืออะไร?


สิวเสี้ยน เกิดขึ้นได้จากความผิดปกติของต่อมรูขุมขน ซึ่งผลิตน้ำมันออกมาหล่อเลี้ยงผิวหนังที่มากกว่าปกติ จนกระทั่งเกิดการอุดตันขึ้น หรือมีเส้นขนเล็กๆจำนวนมากกระจุกตัวอยู่ในรูขุมขนเดียวกัน สิวเสี้ยนมีลักษณะเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หัวเปิดที่มักขึ้นรวมกันเป็นประจุก มีทั้งชนิดหัวสีดำ และหัวสีขาว

โดยส่วนใหญ่มักจะพบสิวเสี้ยนขึ้นอยู่ในบริเวณจมูก คาง แก้ม หน้าผาก หลังคอ หลัง เนิ่นไหล่ หรือต้นแขน ในบริเวณที่มีรูขุมขนอยู่เป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่แล้วสิวเสี้ยวมักจะเกิดขึ้นมากในช่วงที่ฮอร์โมนในร่างกายมีมาก และไปทำการกระตุ้นต่อมไขมันจนทำงานมากจนผิดปกติ

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ระวัง! ขัดผิวหน้าอย่างผิดวิธี หน้าจะพังไม่ทันรู้ตัว

การขัดผิวหน้า หรือ การสครับ (Facial Scrub) เป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ เมื่อเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ สภาพผิวก็จะดีขึ้น และดูเปล่งปลั่งมากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้คุณสาวๆ หลายๆ คนที่ใจร้อน อยากที่จะทำการขัดผิวหน้าบ่อยๆ เพื่อให้ใบหน้าเนียนกระจ่างใสอยู่เป็นประจำ

แต่ในความเป็นจริงแล้วการขัดผิวหน้าบ่อยมากๆ จนเกินพอดีนั้น เป็นผลเสียต่อผิวหน้ามากกว่าผลดี เพราะทำให้ผิวบนใบหน้าเกิดการระคายเคือง จนนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น สิว ความแห้งกร้านของผิวหน้า เป็นต้น

สำหรับในวันนี้ จึงจะขอแนะนำให้รู้จักกับ วิธีการขัดผิวหน้าอย่างถูกวิธี เพื่อเป็นการช่วยป้องกันการเกิดปัญหา และทำให้ใบหน้าของคุณสาวๆ ขาวใสจากการขัดผิวโดยไร้ความกังวล

ข้อควรจำในการขัดผิวหน้าอย่างถูกวิธี


1. ไม่ควรทำการขัดหน้าบ่อยจนเกินไป โดยความถี่ที่เหมาะสมในการขัดหน้า คือ 1-2 ครั้ง ต่อสัปดาห์ ซึ่งถือว่าเพียงพอแล้ว นอกจากนี้การทิ้งระยะเวลาในการขัดหน้าจะช่วยเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทนแทนเซลล์ผิวเก่าที่ถูกขัดออกไป ดังนั้นถ้าหากฝืนทำการขัดหน้าบ่อยๆ แทนที่จะทำให้หน้าใส กลับเป็นการรบกวนผิว ทำให้ใบหน้าแห้งกรัง เกิดสิว แถมริ้วรอยยังมาเยือนอีกต่างหาก

2. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์หรือครีมที่มีส่วนผสมของกรดอัลฟา ไฮดรอกซี (Alpha hydroxylacids) ที่มากจนเกินไป เพราะถึงแม้ว่ากรดดังกล่าวจะมีฤทธิ์ในการช่วยผลัดเซลล์ผิว แต่หากใช้ในปริมาณมากจนเกินไป หรือทาบ่อยๆเป็นประจำทุกวัน การกระตุ้นให้ผิวหน้าผลัดเซลล์อยู่ตลอดเวลาจะทำให้ผิวใบหน้าถูกทำลายมากกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวเกิดขึ้นตามมาในระยะยาว


3. ไม่ควรนำผลิตภัณฑ์ขัดผิวตัวมาใช้ในการขัดผิวหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดผิวหน้าโดยเฉพาะ และไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้าที่มีเม็ดขรุขระ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดละเอียด เพื่อความปลอดภัยต่อผิวหน้าที่มากขึ้น ให้คุณสาวๆนำผลิตภัณฑ์ที่จะใช้ทำการขัดผิวหน้า มาทดลองขัดที่ผิวหนังบริเวณหลังมือก่อน ถ้าหากทำการถูแล้วไม่รู้สึกเจ็บ หรือแสบผิว จึงค่อยนำไปใช้ในการขัดผิวหน้าต่อไป

4. ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการขัดผิวหน้ามากที่สุด คือ เวลากลางคืน เพราะหลังจากที่เราทำการขัดผิวหน้าเสร็จแล้ว ในขณะที่นอนหลับ เซลล์ผิวหน้าจะได้ทำการซ่อมแซม ฟื้นฟู จากการสูญเสียที่เกิดขึ้นในขณะที่ทำการขัดหน้า




5. สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องสิวแต่อยากทำการขัดผิวหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้าสำหรับคนที่เป็นสิวเป็นเฉพาะ เพื่อช่วยลดโอกาสที่จะไปสร้างความระคายเคืองให้กับผิวหน้าในขณะที่ทำการขัดผิวหน้า ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดสิว หรือสิวอักเสบมากขึ้น แต่ทางที่ดีที่สุดคือ ควรงดการขัดผิวหน้าในขณะที่เป็นสิวจนกว่าจะหายดี

6. ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวหน้าเมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องไปในสถานที่ที่มีแสงแดดจัด เช่น ชายทะเล เป็นต้น ไม่ควรทำการขัดผิวหน้า อย่างน้อย 48 ชั่วโมง ก่อนไปในบริเวณที่มีแสงแดดมาก เพราะการขัดผิวหน้าทำให้ผิวหน้าบางลง ผิวหน้าจึงมีความไวต่อแสงแดดมากขึ้นตามไปด้วย

7. หลังจากที่ทำการขัดผิวหน้าควรทาครีมกันแดด ที่มีค่า SPF มากกว่า 15 เมื่อจำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกบ้าน เพราะการขัดผิวหน้าจะทำให้ผิวบอบบางลง และไว้ต่อแสงแดดมากยิ่งขึ้น

8. ในขณะที่ทำการขัดผิวหน้าด้วยมือ ควรขัดเบาๆ พร้อมกับใช้มือขัดในลักษณะถูเป็นวงกลมเล็กๆ ไล่ให้ทั่วใบหน้า โดยเน้นที่บริเวณหน้าผาก จมูกและคางเป็นพิเศษ เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวมักจะเกิดการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งทำให้เกิดสิวขึ้น อีกทั้งยังไม่ควรขัดผิวหน้านานจนเกินไปนัก ควรใช้เวลาในการขัดประมาณ 10-15 นาที หรือน้อยกว่านั้นก็เพียงพอแล้ว

9. หลังจากที่ทำการขัดผิวหน้าควรทำการบำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า

ขัดหน้า ขัดผิว

รวมสูตรขัดหน้า วิธีธรรมชาติ ทำง่ายๆ ที่บ้าน

 

รวมสูตรขัดหน้า วิธีธรรมชาติ ทำง่ายๆ ที่บ้าน


การขัดหน้า หรือ การสครับหน้า (Face Scrub) เป็นหนึ่งในวิธีการดูแลรักษาผิวให้ขาวใส ที่คุณสาวๆให้ความสนใจ เนื่องจากการขัดผิวหน้าเป็นการช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำและตายแล้วออกไป เมื่อเซลล์ผิวหนังใหม่ขึ้นมาแทนที่ จึงทำให้ผิวใบหน้าดูเรียบเนียน เปล่งปลั่งมีออร่ามากขึ้นกว่าเดิม

วิธีขัดผิวหน้าที่สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ได้ด้วยตัวเองที่บ้าน โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงิน เสียเวลาไปสถาบันเสริมความงามอีกด้วย ซึ่งในปัจจุบันส่วนผสมที่นำมาใช้ในการขัดหน้าก็มีอยู่หลายอย่าง เช่น เกลือ ดินสอพอง เป็นต้น รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับการขัดหน้าโดยเฉพาะที่มีวางขายอยู่หลายยี่ห้อ

สำหรับในวันนี้จะขอพาไปแนะนำให้รู้จัก สูตรการขัดหน้า ที่สามารถหาได้จากวัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งได้ทำการรวบรวมเอาไว้ให้คุณสาวๆ ได้ทดลองนำสูตรที่สนใจไปใช้ในการขัดผิวหน้าด้วยตัวเอง

สูตรขัดหน้าจากธรรมชาติ


1. สูตรน้ำผึ้ง+น้ำมันมะกอก นำน้ำมันมะกอก 3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำตาลทรายแดง ½ ถ้วย เทลงในถ้วย แล้วค้นให้เข้ากัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้ทาลงบนใบหน้าให้ทั่ว แล้วทำการขัด ประมาณ 60 วินาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. สูตรน้ำตาลทรายแดง ปั่นน้ำตาลทรายแดง 1 ถ้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา น้ำมันมะกอก ¼ ถ้วย ผิวมะนาวขูด 2 ช้อนชา ให้เข้ากัน นำส่วนผสมที่ได้มาทำการขัดใบหน้า โดยการนวดเบาๆให้ทั่ว แล้วทำการล้างออกด้วยน้ำสะอาด


3. สูตรน้ำมะนาว นำน้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ ผสมเข้ากับน้ำเปล่า 4 ช้อนโต๊ะ ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วล้างออก ขอที่ควรระวังคือ ไม่ควรใช้น้ำมะนาวล้วนๆในการทาผิวหน้า เพราะจะเป็นอันตรายต่อผิวหน้า เช่น ทำให้ใบหน้ากร้านขึ้น เป็นต้น

4. สูตรดินสอพอง+น้ำมะนาว นำดินสอพองมาผสมเข้ากับน้ำมะนาว นำส่วนผสมที่ได้ทาลงบนใบหน้าบางๆก่อนนอน แล้วล้างออกในตอนเช้าด้วยน้ำเย็น แต่ถ้าหากรู้สึกว่าผิวหน้าตึงเกินไปเมื่อใช้สูตรดังกล่าว แนะนำให้ลองลดปริมาณดินสอพองลง


5. สูตรไข่ขาว+มะนาว นำไข่ขาว 1 ช้อนชา กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา มาผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน ทาบางๆทิ้งเอาไว้ประมาณ 30 นที แล้วจึงล้างออกด้วยสบู่

6. สูตรโยเกิร์ต+เกลือป่น นำโยเกิร์ต 1 ถ้วย ผสมเข้ากับเกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า จากนั้นใช้นิ้วมือขัดให้ทั่วประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น

7. นมผง+น้ำมะนาว นำนมผง 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำอุ่น 1 ช้อนชา ผสมเข้าด้วยกันจนนิ่ม นำส่วนผสมที่ได้มาถูเบาๆทั่วหน้า ปล่อยทิ้งเอาไว้ประมาณ 1 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำเย็น

8. สูตรโยเกิร์ต+น้ำตาลทราย นำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำตาลทราย 1 ช้อนชา นำส่วนผสมที่ได้มาขัดเบาๆให้ทั่วใบหน้า จากนั้นทิ้งเอาไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น


9. สูตรมะเขือเทศ+โยเกิร์ต นำมะเขือเทศ 2 ลูก โยเกิร์ต 1 ถ้วย และเกลือแกง 2 ช้อนชา ปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปขัดเบาๆให้ทั่วใบหน้า แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

10. สูตรผงกากกาแฟ+นมจืด นำผงกากกาแฟใส่ลงในถ้วย แล้วเทนมจืดผสมลงไปเล็กน้อย แล้วทำการกวนจนกระทั่งส่วนผสมมีลักษณะเหนียวข้น จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทำการทาให้ทั่วใบหน้า ขัดเบาๆ ทิ้งเอาไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น

11. สูตรรำข้าว นำรำข้าว 3-4 ช้อนโต๊ะ นมเปรี้ยว 2-3 ช้อนโต๊ะ และเกลือทะเลที่ใช้ในการขัดผิว 1 ช้อนโต๊ะ มาผสมให้เข้ากันในถ้วยใบเล็กๆ จนเหนียวกลายเป็นเนื้อครีมเดียวกัน จากนั้นให้นำส่วนผสมที่ได้มาทาให้ทั่วใบหน้า ขัดเบาๆ แล้วทิ้งเอาไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

12. สูตรสตอเบอรี่ + โยเกิร์ต นำสตอเบอรี่จำนวน 4 ผล ไปปั่น แล้วนำสตอเบอรี่ที่ปั่นผสมเข้ากับโยเกิร์ตรสธรรมชาติแช่เย็น ½ ถ้วย ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาขัดและนวดเบาๆให้ทั่วใบหน้า แล้งล้างออกด้วยน้ำอุ่น

13. สูตรข้าวโอ๊ต+เม็ดถั่วเขียว นำข้าวโอ๊ตอบแห้ง 1 ช้อนชา และเม็ดถั่วเขียว ½ ช้อนชา ปั่นรวมกันให้ละเอียด จากนั้นให้เผสมน้ำเปล่าลงไปเล็กน้อยแล้วผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำส่วนผสมที่ได้ขัดผิวหน้าให้ทั่วอย่าเบามือ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


14. สูตรผงวิเศษ+น้ำมะนาว นำผงวิเศษตราร่มชูชีพ 2 ซอง น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มาทำการขัดหน้าเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15. สูตรมะขามเปียก นำมะขามเปียก 1 ก้อน ดินสอพอง 2 ก้อน นมรสจืด 4-5 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำส่วนผสมที่ได้มาทำการขัดที่ผิวหน้าเบาๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการขัดหน้าจะช่วยทำให้ผิวของคุณสาวๆ ขาวใสกระจ่างขึ้น แต่ก็ไม่ควรทำการขัดหน้าบ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบางขึ้น ทำให้ไวต่อแสง และอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ที่ตามมา เช่น ผิวที่แห้งกร้าน หรือสิว เป็นต้น

ความถี่ในการขัดผิวหน้า คือประมาณ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว และทุกครั้งที่มีการขัดผิวหน้า ควรทำการบำรุงผิวหน้าด้วยมอยเจอไรเซอร์ ถ้าต้องการออกไปนอกบ้านหลังจากที่พึ่งทำการขัดผิวหน้า ก็ควรที่จะทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15+++ ขึ้นไป เพื่อช่วยในการปกป้องที่ผิวหน้าที่บอบบางขึ้นจากการขัดหน้า และหลีกเลี่ยวผิวหน้าจากแสงแดดอีกทางหนึ่งด้วย


ถ้าหากคุณสาวๆ ทำตามวิธีการขัดหน้า ที่ได้แนะนำไปในข้างต้นอย่างเป็นประจำสม่ำเสมอแล้ว ในระยะเวลาที่ไม่นานนักก็จะสามารถเห็นผลว่าเจ้ากระตัวดีจะเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยที่ไม่ต้องไปเสียเงินและเสียเวลาในการไปรักษาตามสถาบันเสริมความงาม อีกทั้งยังเป็นวิธีการรักษาด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติที่หาได้ง่าย มีราคาที่ไม่แพง อีกทั้งยังมีความปลอดภัยมากกว่าการใช้สารเคมีเพื่อช่วยในการรักษาอีกด้วย

ถ้าหากใครขี้เกียจที่จะหาวัตถุดับจากธรรมชาติดังกล่าวข้างต้นมารใช้แล้ว ก็จะขอแนะนำผลิตภัณฑ์ขัดผิวหน้า สครับหน้า ดูแลผิวหน้าให้ขาวใสที่จะแนะนำให้ใช้ เรียงลำดับการทำความสะอาดผิวหน้า ตั้งแต่ การขัดหน้า ล้างหน้า ใช้เซรั่มกระชับรูขุมขน และก็ครีมหน้าใสเพื่อผิวเรียบเนียนเป็นการตบท้ายการบำรุงผิวหน้าขาวใส

ที่มาจาก http://www.kondoodee.com